UPDATE : 2023/06/30
SHARE : Copied
ธุรกิจคุณเจอปัญหานี้อยู่ไหม? ลงทุนทำเว็บไซต์ไปตั้งมากมาย แต่ไม่มี Website Traffic เลย หรือมีแต่มีน้อย เท่ากับว่าได้ไม่คุ้มเสีย คุณอาจขาดการโปรโมตเว็บไซต์ที่เรากำลังจะพูดถึงในบทความนี้อยู่ หรือทำแล้วแต่อาจจะยังทำผิดจุด เพราะการทำให้คนอยากเข้ามาชมเว็บไซต์ของเรา มันมีหลายอย่างที่ต้องทำร่วมกันเพื่อดึงดูดคนให้ คลิก! อย่างเช่น คอนเทนต์ที่ตรงใจ มาในช่องทางที่ถูกต้อง และถูกเวลา ดังนั้น DTK AD เลยมาแบ่งปันวิธีเพิ่ม Website Traffic ให้ปังแบบเห็นผลได้ โดยมีทั้งวิธีที่เสียเงินและวิธีที่ฟรีค่ะ
เป็นการเขียนคอนเทนต์ด้วยการโฟกัส Keyword ที่เกี่ยวข้องหรือคีย์เวิร์ดที่จะช่วยสร้างโอกาสให้ธุรกิจคุณ ด้วยวิธีการทำที่เรียกว่า SEO (Search Engine Optimization) เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อทำให้เวลาที่มีคนเสิร์ชค้นหาข้อมูลด้วยคีย์เวิร์ดเหล่านั้นใน Search Engine อย่าง Google ก็จะเห็นเว็บไซต์ของเราปรากฏขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ และเพิ่มโอกาสในการคลิกมากขึ้นทำให้มี Website Traffic เข้ามาในเว็บของคุณมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้ทำได้ง่ายๆ และไม่เสียเงิน เพียงแต่คุณต้องรู้จักวิธีการปรับปรุง SEO ในหน้าเว็บไซต์หรือเนื้อหาให้มีคุณภาพ ซึ่งสามารถศึกษาได้ที่บทความ SEO คืออะไร? เผยทริคทำ SEO ให้ติดหน้าแรกบน Google
เพราะคนส่วนใหญ่เวลาที่เจอปัญหาหรือมีความต้องการอะไรสักอย่าง พวกเขามักจะมาหาคำตอบใน Google ด้วยการเสิร์ชคีย์เวิร์ด อย่างเช่น คนที่อยากหาร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ พวกเขาอาจจะเสิร์ชว่า “ร้านอาหารญี่ปุ่น รีวิว” ซึ่งแบรนด์ไหนที่สร้างคอนเทนต์แล้วโฟกัสคีย์เวิร์ดคำว่า “ร้านอาหารญี่ปุ่น รีวิว” ก็มีโอกาสที่คอนเทนต์ของเขาจะถูกเห็นและถูกคลิกสูงขึ้น ทั้งนี้ การที่เว็บไซต์จะถูกมองเห็นได้ง่ายๆ ก็ต้องปรับปรุง SEO ให้มีคุณภาพ แต่การทำ SEO จะต้องใช้เวลาในการไต่อันดับพอสมควร และมีการทำ Off-page SEO หรือ Backlink ที่เราจะพูดถึงในหัวข้อต่อไป
การเลือกใช้ Keyword ควรโฟกัสคำที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ สินค้า หรือบริการของคุณ และเป็นคีย์เวิร์ดที่คนใช้ค้นหาเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อแบรนด์ สรรพคุณบางอย่างของสินค้า เช่น “เป็นมิตรต่อธรรมชาติ” “สารสกัดจากธรรมชาติทั้งหมด” “ส่งฟรี” “ผิวแพ้ง่าย” เป็นต้น ซึ่งมีเครื่องมือหลากหลายที่จะช่วยคุณเช็กอัตราการเสิร์ชของคีย์เวิร์ดนั้นๆ ได้ ในบทความ รวม 6 เครื่องมือหา Keyword ทำ SEO และ SEM ให้แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง
อีกตัวช่วยที่จะพัฒนา SEO ของคุณให้ดีขึ้นก็คือ Google Analytics ซึ่งคุณจะสามารถดูได้ว่าผู้ที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาใช้คีย์เวิร์ดอะไรค้นหาแล้วมาเจอก็เว็บไซต์ของคุณ จากนั้นก็นำคำเหล่านั้นมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์ได้ และอย่าลืมศึกษาคู่แข่งด้วย ว่าพวกเขาใช้คีย์เวิร์ดแบบไหนในการทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือในอีเมล
ตัวช่วยสุดท้ายคือ Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีที่ให้แบรนด์สามารถดูได้ว่า เว็บไซต์ของคุณปรากฏในหน้าผลการค้นหาบ่อยแค่ไหน จำนวนคนที่คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ และข้อความอะไรที่ดึงดูดให้คนคลิก Performance เป็นอย่างไร แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดจะแสดงเฉพาะในส่วนของ Organic เพียงอย่างเดียวไม่รวมกับผลลัพธ์ที่เกิดจากการทำ Paid Ad
Backlink หรือ Inbound Link คือลิงก์ที่ธุรกิจอื่นใส่ในหน้าเว็บไซต์ของเขาเพื่ออ้างอิงมายังเว็บไซต์หน้าใดหน้าหนึ่งของเรา พูดง่ายๆ ก็คือ มีการทำลิงก์กลับมาหาเว็บของเรา และยิ่งคุณมี Backlink ที่มีคุณภาพมากเท่าไหร่ เว็บไซต์หน้านั้นก็ยิ่งมีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลการค้นหาของ Search Engine มากขึ้นเท่านั้น เพราะลิงก์เหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกกับ Search Engine ว่าเว็บไซต์ของเราเป็นที่นิยม ใครๆ ก็พูดถึงเรา อำนาจเว็บไซต์ของเราจะเพิ่มขึ้นจนอันดับสูงขึ้น แต่ Backlink ต้องมาจากเว็บไซต์ที่มีเชื่อเสียงหรือน่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพ สังเกตได้จาก เว็บนั้นเป็นที่รู้จัก มีจำนวน Traffic เยอะหรือดูจาก DA และ DR ของเว็บไซต์ ยิ่งมี Score สูงยิ่งดี
Content is King ใช้ได้เสมอ เพราะชีวิตคนขาดคอนเทนต์ไม่ได้ และทริคที่จะนำคอนเทนต์มาเป็นอาวุธให้คนสนใจ และไปอ่านต่อที่เว็บไของเรา คือ ทำคอนเทนต์ที่ช่วยตอบคำถาม ไขข้อสงสัย หรือช่วยแก้ปัญหาแบบเจาะลึก รู้ลึกรู้จริง คอนเทนต์ในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในมุมมองของผู้เยี่ยมชม และยังทำให้เราเป็นนัมเบอร์วันของ พวกเขา เวลาเสิร์ชเรื่องอื่นๆ แล้วเจอเว็บไซต์ของเรา เขาจะเลือกเราก่อน
การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ หรือมีประโยชน์ ช่วยในเรื่องการทำ SEO ด้วย เพราะยิ่งมีคนคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณมากเท่าไหร่ เว็บไซต์ของคุณก็จะยิ่งไต่อันดับสูงมากขึ้นเท่านั้น และทำให้เพิ่มโอกาสที่พวกขาจะกลับมายังเว็บไซต์ของเราซ้ำด้วย
อีกหนึ่งทริคเล็กๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความประทับใจให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ คือการมีหัวข้อย่อย หรือมี Table of Content ให้ผู้ที่เข้ามาได้ดูก่อนว่าในหน้านี้มีข้อมูลอะไรบ้าง แล้วสิ่งที่เขาอยากรู้มันอยู่ตรงไหน เมื่อคลิกที่หัวข้อย่อยแล้วไปย่อหน้าที่พวกเขาต้องการได้เลย ก็ยิ่งเพิ่มความประทับใจได้
ถ้าคุณเป็นธุรกิจที่มีหน้าร้าน เช่น ร้านอาหาร ร้านขายยา ร้านซักอบรีด ร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า การทำ Local SEO เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะช่วยทำให้ลูกค้าจำนวนมากมาเจอกับร้านคุณ โดยเมื่อมีคนเสิร์ชหาร้านค้าในบริเวณที่พวกเขาต้องการบน Google แล้วร้านของคุณอยู่ในเงื่อนไขที่กูเกิ้ลมองว่าเป็นคำตอบของผู้ค้นหา กูเกิ้ลก็จะนำเว็บไซต์ของร้านคุณขึ้นมาแสดง
ในการรวบรวมข้อมูลสำหรับ Local Search กูเกิ้ลจะพิจารณาจากเนื้อหาในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่นั้นๆ หน้าโปรไฟล์โซเชียลมีเดีย ลิงก์ และการอ้างอิง เพื่อทำให้ผู้ค้นหาเจอข้อมูลที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ซึ่ง Tools ที่จะช่วยจัดการข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นระบบระเบียบได้แบบง่ายๆ ก็คือ Google Business Profile
อีเมล เป็นช่องทางที่มีความพิเศษคือ คุณสามารถกำหนดเป้าหมายและส่งเนื้อหาแบบ Personalized เพื่อดึงดูดพวกเขาให้ไปยังหน้าเว็บไซต์ หรือ Landing Page เฉพาะที่คุณต้องการได้
การส่งอีเมลแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
เพิ่มความประทับใจอีกขั้นให้ลูกค้าแบบรายบุคคล (Personalized) ด้วยการทำ Segmentation หรือแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรม แล้วส่งอีเมลเหล่านี้ให้กับลูกค้าที่มีอัตราการเปิดดูอีเมลสูงๆ แล้วคุณจะพบว่าวิธีนี้ดีกว่าการส่งเนื้อหาแบบเดียวกันให้กับลูกค้าทุกๆ คน เช่น ลูกค้าที่เพิ่งสมัครสมาชิกเข้ามาแล้วเปิดดูรองเท้าผ้าใบ A ในเว็บไซต์ คุณอาจส่งข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรองเท้าผ้าใบ A หรือส่วนลดซื้อครั้งแรกไปให้ การยื่นเนื้อหาที่อยู่ในความสนใจของลูกค้ามีโอกาสที่ลูกค้าจะเปิดดูและคลิกที่เว็บไซต์มากกว่า
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
โซเชียลมีเดียเป็นอีกช่องทางที่นิยมใช้เพื่อเพิ่ม Website Traffic เช่น การแชร์ลิงก์บทความ หรือ Landing Page เฉพาะหน้าอย่างโปรโมชั่น อีเวนต์พิเศษ แคมเปญใหม่ๆ ของธุรกิจ หรือถ้าเว็บไซต์ของคุณรองรับ E-commerce คุณก็สามารถใช้โซเชียลมีเดียช่วยโปรโมตเพื่อ Drive Traffic ไปยังเว็บไซต์ของคุณก็ได้
แต่สิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องรู้คือ การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะกับคอนเทนต์ของแบรนด์ และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น ถ้าอคุณยากโปรโมตสัมมนาเพิ่มสกิลด้านการงานอาชีพ คุณอาจจะเลือกโปรโมตใน Linkedin แต่ถ้าอยากโปรโมตชุดเดรสลูกไม้ คุณอาจเลือกใช้ Instagram ที่เน้นแสดงรูปภาพเป็นหลัก หรือถ้ายังไม่แน่ใจก็สามารถทดลองหาช่องทางที่ดีที่สุดได้ เพื่อคุณจะได้ไปลงทุนลงแรงโปรโมตในช่องทางนั้นๆ อย่างเต็มที่
อีกหนึ่งสิ่งที่แบรนด์ควรระวัง คือ เมื่อกลุ่มเป้าหมายสนใจคอนเทนต์ของคุณแล้ว อย่าทำให้พวกเขาคลิกลิงก์แล้วไม่เจอกับเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจ เช่น เนื้อหาในโซเชียลฯ คือสินค้า A แต่คลิกลิงก์ไปแล้วกลับเจอหน้า Home คุณควรใส่ลิงก์ของ Landing Page ให้ตรงกับคอนเทนต์บนโซเชียลฯ เมื่อพวกเขาคลิกไปยังเว็บไซต์ก็เจอสินค้า A ทันที
ทุกๆ คนต้องเคยเห็นโฆษณาใน Search Engine อย่างกูเกิ้ลผ่านๆ ตามาบ้างแล้ว อาจจะเป็นโฆษณาของแบรนด์ขายคอร์สเรียนออนไลน์ แอปพลิเคชั่น อุปกรณ์ไอที หรือผลิตภัณฑ์บำรุงร่างกาย และอื่นๆ ซึ่งการซื้อโฆษณาของ Google ก็มีหลายประเภท แต่ประเภทที่เราแนะนำเพื่อ Drive Traffic มายังเว็บไซต์คือ
ส่วนโฆษณาบนโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, Twitter แบรนด์จะสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้แบบเฉพาะเจาะจง โดยแบ่งกลุ่มจาก เพศ อายุ ความสนใจ การศึกษา และเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการนำพฤติกรรมของผู้เยี่ยมชมบนเว็บไซต์มาปรับปรุงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น เช่น ดูว่าหน้าผลิตภัณฑ์อะไรที่ผู้เยี่ยมชมเข้ามาดูมากที่สุด คุณอาจนำข้อมูลนี้มาปรับปรุงโฆษณาและยิงไปยังกลุ่มคนที่กำลังพิจารณาสินค้าของคุณอยู่
การซื้อโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี คุณจำเป็นต้องมีบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ถ้ายังไม่มี คุณอาจหาที่ปรึกษาหรือพึ่งพาเอเจนซี่ให้มาดูแลด้านการบริหารงบ ตำแหน่งที่จะเอาโฆษณาไปวางไว้ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการยิงโฆษณา นอกจากนี้พวกเขาสามารถให้ Insight และแนะนำวิธีที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับแบรนด์ได้ ซึ่งคุณสามารถไว้วาง DTK AD ให้ดูแลบริหารโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์แบบปังๆ ได้
เป็นวิธีที่นอกจากจะได้ Website Traffic แล้ว ยังได้ความน่าเชื่อถือและการรับรู้เพิ่มขึ้นจากผู้ที่ติดตามหรือที่ชื่นชอบ Influencer คนนี้ และเปลี่ยนผู้ติดตามของเขาให้กลายเป็นลูกค้าของเรา ซึ่งคุณอาจทำได้หลายวิธี เช่น
การสร้าง Website Traffic มีหลากหลายวิธี แต่สิ่งที่สำคัญที่เป็น Core ก็คือการเข้าใจความต้องการผู้บริโภค รู้ว่าพวกเขากำลังต้องการหรือสนใจอะไร แล้วทำคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของพวกเขา อีกสิ่งหนึ่งคือ ช่องทางสื่อ ผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณอยู่ที่ไหน คุณก็ต้องไปอยู่ที่นั่น จากนั้นคุณก็เลือกเทคนิคทั้ง 8 ที่เรานำมาแชร์ไปใช้ เพื่อดึงดูดพวกเขาให้มายังเว็บไซต์ของคุณ
Content Marketing คืออะไร? สร้างกลยุทธ์สื่อสารอย่างไรให้เห็นผลจริง?
Data Driven Marketing คือ? ใช้ข้อมูลสร้างแบรนด์อย่างไรให้ปัง!!
เจาะลึก Customer Insight คืออะไร? เก็บข้อมูลจากไหนได้บ้าง พร้อมตัวอย่างการนำไปใช้
ติดตามข้อมูลข่าวสารที่นักการตลาดต้องรู้ อัปเดตใหม่เรื่อยๆ ที่ Facebook: DTK AD Co., Ltd.
SHARE : Copied
บทความล่าสุด
CATEGORY
TAGS