กลยุทธ์ CRM คืออะไร และทำไมถึงเป็นหัวใจสำคัญในการทำ Digital Marketing

UPDATE : 2024/06/17

Digital Marketing

SHARE : Facebook share Line share Twitter share Link shareCopied

การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลต้องเข้าใจความต้องการและปัญหาของลูกค้า CRM (Customer Relationship Management) จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์และจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ นำไปสู่การซื้อซ้ำและการเติบโตของธุรกิจ 

CRM

CRM คืออะไร 

Customer Relationship Management คือ ระบบหรือกลยุทธ์ที่ใช้ในการจัดการและวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการเก็บข้อมูลลูกค้าตลอดวงจรของลูกค้า เป้าหมายหลักของ คือการสร้างความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ของลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่การซื้อซ้ำและการรักษาลูกค้าในระยะยาว การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ามีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มยอดขายและการเติบโตของธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าได้อย่างละเอียด ทำให้สามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ในหัวข้อถัดไปเรามาบอกรายละเอียดของประโยชน์ของการทำ Customer Relationship Management

 

ประโยชน์และการทำ CRM มีความสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ 

การทำ Customer Relationship Management มีประโยชน์อย่างมากต่อการทำ Sales Funnel (กระบวนการขาย) เนื่องจากช่วยในการจัดการและปรับปรุงทุกขั้นตอนของกระบวนการขาย ตั้งแต่การดึงดูดลูกค้าเป้าหมายจนถึงการปิดการขายและการรักษาลูกค้าในระยะยาว

1. Lead Generation (การสร้างลูกค้าเป้าหมาย)
ช่วยในการรวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าเป้าหมายจากหลายแหล่ง เช่น เว็บไซต์, โซเชียลมีเดีย, อีเมล และกิจกรรมการตลาดอื่น ๆ ทำให้สามารถติดตามและวิเคราะห์แหล่งที่มาของลูกค้าเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Lead Nurturing (การดูแลลูกค้าเป้าหมาย)
ช่วยในการติดตามและจัดการการติดต่อกับลูกค้าเป้าหมายอย่างเป็นระบบ เช่น การส่งอีเมลติดตามผล, การจัดการแคมเปญการตลาดอัตโนมัติ และการบันทึกประวัติการติดต่อ ทำให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเป้าหมายและเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนเป็นลูกค้าจริง

3. Sales Conversion (การเปลี่ยนลูกค้าเป้าหมายเป็นลูกค้าจริง)
เครื่องมือนี้ช่วยในการติดตามและจัดการกระบวนการขายอย่างละเอียด เช่น การติดตามสถานะของโอกาสทางการขาย, การจัดการข้อเสนอ, และการติดตามการปิดการขาย ทำให้ทีมขายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความซับซ้อนในกระบวนการขาย

4. Customer Retention (การรักษาลูกค้า)
ติดตามและจัดการการบริการหลังการขาย เช่น การจัดการคำร้องเรียน, การติดตามปัญหา, และการให้บริการสนับสนุน ทำให้สามารถรักษาลูกค้าและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้

5. Data Analysis and Reporting (การวิเคราะห์ข้อมูลและการรายงาน)
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและกระบวนการขาย ทำให้สามารถสร้างรายงานและการวิเคราะห์ที่มีประโยชน์สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจ เช่น การวิเคราะห์แนวโน้มการขาย, การประเมินประสิทธิภาพของทีมขาย, และการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า

6. Personalization (การปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้า)
ช่วยในการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ทำให้สามารถปรับแต่งการติดต่อและการเสนอขายให้ตรงกับความต้องการและความสนใจของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างแม่นยำ

 

ประเภทของ Customer Relationship Management

การจัดกับความสัมพันธ์ของลูกค้า มีหลายประเภทที่มุ่งเน้นการปรับปรุงและพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าในมิติต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ

1. Operational Customer Relationship Management
มุ่งเน้นที่การปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อกับลูกค้า เช่น การขาย การตลาด และการบริการลูกค้า โดยมีฟังก์ชันหลักดังนี้

– Sales Automation
ช่วยในการจัดการกระบวนการขาย เช่น การติดตามโอกาสทางการขาย การจัดการลูกค้าเป้าหมาย และการปิดการขาย

– Marketing Automation
ช่วยในการวางแผนและติดตามแคมเปญการตลาด เช่น การส่งอีเมล การจัดการโปรโมชั่น และการวิเคราะห์ผลลัพธ์

– Service Automation
ช่วยในการจัดการการบริการลูกค้า เช่น การจัดการคำร้องเรียน การติดตามปัญหา และการให้บริการหลังการขาย

2. Analytical Customer Relationship Management
มุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อหาแนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจ โดยใช้เครื่องมือและเทคนิคต่าง ๆ เช่น การทำเหมืองข้อมูล (Data Mining) และการวิเคราะห์เชิงสถิติ ฟังก์ชันหลักได้แก่

– Customer Segmentation
การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมการซื้อ อายุ หรือภูมิศาสตร์

– Customer Lifetime Value Analysis
การวิเคราะห์มูลค่าตลอดชีพของลูกค้าเพื่อหาลูกค้าที่มีค่ามากที่สุด

– Predictive Modeling
การสร้างแบบจำลองเพื่อทำนายพฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต

3. Collaborative Customer Relationship Management
มุ่งเน้นที่การปรับปรุงการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานภายในองค์กรและกับลูกค้า โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มการสื่อสาร รายละเอียดดังต่อไปนี้

– Interaction Management
การจัดการการติดต่อและการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ

– Channel Management
การจัดการช่องทางการติดต่อกับลูกค้า เช่น โทรศัพท์ อีเมล และโซเชียลมีเดีย

– Document Management
การจัดการเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า

4. Strategic Customer Relationship Management
มุ่งเน้นที่การพัฒนากลยุทธ์ระยะยาวเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า โดยการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อวางแผนและตัดสินใจ 

– Customer Insight
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า

– Customer Retention
การพัฒนากลยุทธ์เพื่อรักษาลูกค้าและเพิ่มความภักดี

– Customer Acquisition
การวางแผนและดำเนินการเพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่

 

กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าในปี 2024 ยังจำเป็นอยู่หรือไม่ 

กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ยังคงมีความจำเป็นอย่างมากในปี 2024 และต่อไปในอนาคต เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภคและการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวและใช้กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า นี่คือเหตุผลที่กลยุทธ์นี้ยังคงมีความสำคัญ

1. การปรับตัวต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
ผู้บริโภคในปัจจุบันมีความคาดหวังสูงขึ้นในเรื่องของการบริการและประสบการณ์ที่ได้รับจากแบรนด์ การใช้กลยุทธ์นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

2. การใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
ข้อมูลเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากในยุคดิจิทัล ช่วยในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ทำให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุนและสามารถวางแผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ

3. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ช่วยในการจัดการกระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าอย่างเป็นระบบ ทำให้ทีมงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซับซ้อนและความผิดพลาดในการทำงาน

4. การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า
การรักษาลูกค้าเก่าและการสร้างความภักดีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก การใช้ช่วยในการติดตามและจัดการการติดต่อกับลูกค้า ทำให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

5. การปรับปรุงการบริการลูกค้า
ช่วยในการจัดการคำร้องเรียนและการให้บริการหลังการขาย ทำให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

6. การปรับตัวต่อการแข่งขันในตลาด
ตลาดมีการแข่งขันสูงขึ้น การใช้กลยุทธ์นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันโดยการให้บริการที่ดีกว่าและการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว

 

ขั้นตอนการวางกลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า

การวางกลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นกระบวนการที่ต้องการการวางแผนและการดำเนินการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนหลักในการวางกลยุทธ์การจัดกับความสัมพันธ์ของลูกค้า

1. การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน (Current Situation Analysis)
– การวิเคราะห์ภายใน ตรวจสอบกระบวนการทางธุรกิจที่มีอยู่, การจัดการข้อมูลลูกค้า, และการใช้เทคโนโลยีในปัจจุบัน
– การวิเคราะห์ภายนอก วิเคราะห์ตลาด, คู่แข่ง, และแนวโน้มของอุตสาหกรรม

2. การกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Setting Goals and Objectives)
– กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ เช่น การเพิ่มยอดขาย, การปรับปรุงการบริการลูกค้า, หรือการเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
– วัตถุประสงค์ควรสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจโดยรวม

3. การระบุลูกค้าเป้าหมาย (Identifying Target Customers)
– แบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมการซื้อ, อายุ, ภูมิศาสตร์, หรือความสนใจ
– ระบุลูกค้าที่มีมูลค่าสูงและมีศักยภาพในการสร้างรายได้

4. การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือ (Selecting Technology and Tools)
– เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ เช่น Salesforce, HubSpot, หรือ Zoho
– พิจารณาความสามารถในการรวมเข้ากับระบบอื่น ๆ ที่มีอยู่

5. การออกแบบกระบวนการ (Designing Processes)
– ออกแบบกระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการลูกค้า เช่น การขาย, การตลาด, และการบริการลูกค้า
– กำหนดขั้นตอนการทำงานและการติดต่อกับลูกค้าในแต่ละขั้นตอนของ Sales Funnel

6. การฝึกอบรมพนักงาน
– ฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจและสามารถใช้กลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– แม้เราจะทำแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ การเอาไปใช้อย่างเข้าใจ ไม่นั้นก็ไม่เกิดประโยชน์

7. การดำเนินการและการนำไปใช้ (Implementation and Deployment)
– ดำเนินการติดตั้งและตั้งค่าระบบ Customer Relationship Management
– ทดสอบระบบและปรับปรุงตามความต้องการ

8. การติดตามและการวัดผล (Monitoring and Measurement)
– ติดตามผลการดำเนินงานและวัดผลตามเป้าหมายที่กำหนด
– ใช้ข้อมูลและรายงานจากระบบ เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์

9. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)
– รับฟังความคิดเห็นจากพนักงานและลูกค้าเพื่อปรับปรุงกระบวนการและระบบ
– ปรับปรุงกลยุทธ์ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้า

 

บทสรุป : ทำไม CRM ถึงเป็นหัวใจหลักของการทำ Digital Marketing

Customer Relationship Management ยังเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Digital Marketing เนื่องจากช่วยในการรวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่ง ทำให้สามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะต่างๆ และปรับแต่งการสื่อสารการตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย นอกจากนี้ยังช่วยในการติดตามและวัดผลแคมเปญการตลาด เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีม และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ด้วยการผสานเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI, Big Data และ Machine Learning ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังช่วยให้ธุรกิจปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การใช้กลยุทธ์นี้ในการทำ Digital Marketing จึงไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ทำให้ธุรกิจเติบโตและแข่งขันได้ในตลาดยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

 

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารที่นักการตลาดต้องรู้ อัปเดตใหม่เรื่อยๆ ที่ Facebook: DTK AD Co., Ltd.

DTK AD

SHARE : Facebook share Line share Twitter share Link shareCopied

บทความแนะนำ

เร็วๆ นี้

    ติดต่อสอบถามได้ที่นี่
    โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา