UPDATE : 2023/03/13
SHARE : Copied
ปัจจุบัน ธุรกิจจำนวนมากตั้งแต่ระดับโลกจนกระทั่ง Start Up ต่างๆ ลงแรงในการทำ SEO (Search Engine Optimization) ให้กับเว็บไซต์กันอย่างแข็งขัน การทำเว็บไซต์เปรียบเสมือนหน้าร้านให้ลูกค้าเข้ามาทำความรู้จักแบรนด์นั้น ต้องใช้การคิด การดีไซน์ งบประมาณและระยะเวลาไปจำนวนมากกว่าจะออกมาเป็นร้านสวยๆ ที่ลูกค้าอยากเข้า และการทำ SEO ก็เหมือนเป็นการที่คุณนำร้านสวยๆ นี้ไปเปิดในตลาดให้คนจำนวนมากเห็น ดังนั้น ถ้าธุรกิจคุณมีเว็บไซต์และอยากให้คนคลิกเข้ามาเยอะๆ โดยไม่เสียเงินสักบาท ห้ามพลาดบทความนี้เลยค่ะ!!
SEO หรือ Search Engine Optimization คือ การปรับปรุง หรือทำให้เว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาของ Search Engine Result Page (SERP) บน Google, Bing หรือ Yahoo! เป็นต้น โดยอาศัยการปรับแต่งเว็บไซต์ การเขียนคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ การเลือกใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการข้อมูลสินค้าหรือบริการเหล่านั้น ค้นหาแล้วเจอธุรกิจของคุณ รวมถึงการทำ Backlinks ที่มีคุณภาพให้ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของเรา โดยในบทความนี้เราจะโฟกัส Google ที่คนไทยใช้ในการหาข้อมูลมากที่สุด
การปรับปรุงเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ จะช่วยให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์นี้มีศักยภาพมากพอและเป็นประโยชน์ต่อผู้ค้นหา จากนั้นอันดับเว็บไซต์จะขึ้นมาเรื่อยๆ จนอยู่อันดับต้นๆ ของหน้าผลการค้นหา ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกคลิกมากยิ่งขึ้น มีปริมาณผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น จนอาจนำไปสู่การเพิ่มยอดขายโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงิน
จากรูปผลการค้นหาด้านบน จะเห็นว่าอันดับการแสดงผลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ในกรอบสีน้ำเงินเป็น Organic Search หรือ Natural Search เป็นการค้นหาเข้าเว็บไซต์โดยวิธีทางธรรมชาติ โดย Google ได้รวบรวมและจัดอันดับผ่านระบบอัลกอริทึม (Algorithm) โดยให้คะแนนอิงตามเกณฑ์ที่ Google กำหนดไว้ เว็บไซต์ไหนสามารถทำได้ตามเกณฑ์มากที่สุด และมีจำนวนผู้เข้าชมเป็นจำนวนมาก จะถูกเลื่อนให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับบนสุดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้มีโอกาสถูกคลิกสูง ได้ยอด Organic traffic (ปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์) มาก และหากคอนเทนต์ของเราตอบโจทย์ผู้ค้นหาได้ ก็อาจทำให้เกิด Conversion ตามมา เช่น ซื้อสินค้า ลงทะเบียน สมัครสมาชิก รับแจ้งเตือน หรือเพิ่มยอด Engagement เช่น มีคนคอมเมนต์ หรือแชร์คอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย ที่ช่วยเพิ่ม Brand Awareness อีกด้วย
ในกรอบสีเทา จะมีคำว่า “Ad” หรือ “โฆษณา” กำกับไว้ข้างหน้า URL เป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาบน Google หรือเรียกว่าการทำ SEM (Search Engine Marketing) ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ของคุณได้อยู่ในตำแหน่งบนสุดที่คนเห็นมากที่สุด เพิ่ม Website Traffic ได้ไวโดยไม่ต้องเสียเวลาปรับปรุงเว็บไซต์ และหากมีคนคลิกจะต้องเสียเงินตามจำนวนคลิก (Pay Per Click)
จากสถิติในปี 2022 นี้คนไทยใช้งาน Google กว่า 98.37% เมื่อเทียบกับ Search Engine ทั้งหมด จึงไม่แปลกที่ธุรกิจต่างๆ จะนำร้านของตัวเองในรูปแบบเว็บไซต์เข้ามาอยู่ใน Google และแข่งกันทำทุกหนทางให้คนเห็นเว็บไซต์ของตัวเองมากที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการทำ SEO และไม่เพียงแต่เพิ่มประโยชน์ให้ธุรกิจ ยังช่วยลดงบประมาณได้อีกด้วย
– เพิ่มการมองเห็น เมื่อคุปรับปรุงได้มีประสิทธิภาพเพียงพอ เว็บไซต์ของคุณจะค่อยๆ ถูกดันให้ขึ้นมาอยู่ในอันดับแรกๆ ของหน้าผลการค้นหา
– เพิ่ม Website Traffic เมื่อเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับที่คนเห็นได้ง่าย ก็เพิ่มโอกาสในการถูกคลิกและเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ ยิ่งสามารถติดอันดับด้วย Keyword ที่มีคนค้นหาสูง จำนวนคนเข้าเว็บไซต์ก็ยิ่งสูงตาม
– เพิ่มความน่าเชื่อถือ เมื่อคุณปรับปรุงเว็บไซต์ได้ตรงตามเกณฑ์ที่ Google กำหนด ระบบจะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือสูง มีคุณภาพ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่มาค้นหาตาม Keyword นั้นๆ ได้ ทำให้มียอด Page Authority (PA) สูง
– เพิ่มยอดขาย Engagement และ Conversion คนที่เข้าเว็บไซต์ของคุณมีความสนใจหรือมีความต้องการใน Keyword ที่พวกเขากำลังค้นหาอยู่แล้ว หากคุณสามารถทำคอนเทนต์ให้โดนใจ เป็นไปตามความต้องการของพวกเขา ก็สามารถเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าและบริการได้ หรือมีการคอมเมนต์ตอบกลับ และแชร์คอนเทนต์ไปยัง Social Media ของตัวเอง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม Conversion Rate เช่น สมัครสมาชิก กดรับแจ้งเตือน กรอกข้อมูล เป็นต้น
– เพิ่ม Brand Awareness หากเว็บไซต์ของคุณได้อยู่ในอันดับแรกๆ ก็มีโอกาสที่จะถูกคลิกเปิดขึ้นมามากขึ้น ถึงแม้จะไม่เกิดการซื้อสินค้า แต่ก็ได้ผ่านตาของผู้คนเพราะพวกเขาต้องอ่านหรือสแกนคร่าวๆ ทำให้เกิด Brand Awareness (การรับรู้แบรนด์) ไปด้วย
วิธีการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บนหน้าผลการค้นหาของ Google ก็ต้องทำตามเกณฑ์ทุกข้อที่ Google กำหนดไว้ให้ได้ โดยมีวิธีการดังนี้
เป็นการทำให้เว็บไซต์ให้ติดอันดับดีๆ โดยใช้ปัจจัยภายในเว็บไซต์ เช่น ทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพ เลือกใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและมีคนเสิร์ชสูง การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย Friendly กับการใช้งานบนมือถือ เป็นต้น
1. ทำ Keyword Research
เป็นการหา Keyword ที่เหมาะกับการนำมาเขียนบทความในเว็บไซต์ โดยมีวิธีการหาคือ
Google Keyword Planner
Google Trends
Ahrefs
2. รู้ตำแหน่งในการใส่ Keyword
เมื่อได้ Keyword ที่ต้องการแล้ว ต่อไปคือการปรับแต่งคอนเทนต์ในเว็บไซต์ โดยนำ Keyword มาแทรกในคอนเทนต์ตำแหน่งต่างๆ ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ของ Google มีโครงสร้างดังนี้
*ในตัวอย่างเราใส่แค่ Headline 1 กับ 2 ถ้าทำได้ควรใส่ใน H3 ด้วย
**การใส่ Keyword ไม่จำเป็นต้องใส่ในคอนเทนต์อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถใส่ตามหน้า Landing Page ต่าง ๆ บนเว็บไซต์ได้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ SEO ได้เหมือนกัน
3. ใส่ Internal Link ในคอนเทนต์
Internal Link คือลิงก์ของหน้าเพจอื่นๆ ในเว็บไซต์ของเรา เมื่อแฝงลิงก์เข้าไปในบทความได้อย่างเป็นธรรมชาติ ก็มีโอกาสที่ผู้ค้นหาจะกดคลิกลิงก์นั้นต่อไป ทำให้เขาวนเวียนอยู่ในเว็บไซต์ของเรานานขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการทำ SEO
เช่น คุณเป็นแบรนด์ขายชุดว่ายน้ำ เคยทำคอนเทนต์เรื่อง ‘ประเภทของชุดว่ายน้ำ’ ไปแล้ว และตอนนี้กำลังจะทำคอนเทนต์เกี่ยวกับ ‘เทรนด์ชุดว่ายน้ำในปี 2023’ ในระหว่างเนื้อหาของคอนเทนต์ใหม่นี้ ควรหาตำแหน่งที่สามารถแทรก ‘คอนเทนต์ประเภทของชุดว่ายน้ำ’ เข้าไปให้ได้ เพื่อทำให้คนที่เข้ามาอ่านอยากรู้ต่อ และเกิดการคลิก ทำให้เขาอยู่ในเว็บไซต์ของเรานานๆ
หรือการทำ SEO ภายนอกเว็บไซต์ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์โดยใช้ปัจจัยภายนอก เช่น มีเว็บไซต์อื่นอ้างอิงถึงเราโดยการใส่ลิงก์เว็บไซต์ของเราในคอนเทนต์ของเขา และลิงก์นั้นสามารถย้อนกลับมายังเว็บไซต์ของเราได้ เรียกว่าการทำ Backlink หรือ Link Building
การทำการตลาดบน Search Engine ทั้งสองอย่างมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
SEO
ข้อดี: ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา และถ้าทำ SEO ได้มีประสิทธิภาพสูง เว็บไซต์จะยิ่งมีความน่าเชื่อถือ และปรากฏในตำแหน่งแรกๆ ได้นาน ทำให้มีโอกาสเพิ่ม Website Traffic ยอด Engagement ยอดแชร์ หรือยอดขายได้ตลอดเวลา
ข้อเสีย: ต้องใช้เทคนิคในการเขียนคอนเทนต์ที่ซับซ้อน และปรับปรุงหน้าเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ถ้า Keyword ไหนมีการแข่งขันสูงแล้วคุณหยุดทำ SEO ก็จะทำให้อันดับล่วง อีกทั้งยังใช้เวลาในการไต่อันดับนานอย่างน้อย 1-6 เดือน ขึ้นอยู่กับจำนวนการค้นหา และคู่แข่ง ถ้าเว็บไซต์เรามีประสิทธิภาพและมีการทำ Backlinks ที่มีคุณภาพก็จะยิ่งทำให้เราไต่อันดับได้ไวขึ้น
SEM
ข้อดี: สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ว่าอยากให้เว็บไซต์แสดงให้ใคร เพศ อายุ จังหวัดไหนเห็น แถมยังเลือกวัน เวลาในการแสดงได้ด้วย หรือจะเลือกให้แสดงตลอด 24 ชม. ก็ย่อมได้ อีกทั้งยังสามารถเก็บ insight ได้ในเวลาสั้นๆ ไม่ต้องใช้เวลานานเหมือนการปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยตัวเอง แต่ส่วนใหญ่จะใช้เป็นแบบ Short-term ถ้าหากมีจำกัด
ข้อเสีย: ต้องใช้ต้นทุนในการแสดงโฆษณา (Pay-Per-Click (PPC) = เสียเงินตามจำนวนที่ถูกคลิก) และมีโอกาสที่โฆษณาจะไม่แสดงทุกครั้งเมื่อมีคนเสิร์ช Keyword ที่คุณซื้อ เพราะขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน เช่น ใน Keyword เดียวกัน คุณจ่ายเงินต่อคลิกน้อยกว่าคู่แข่ง โอกาสที่โฆษณาของคุณจะปรากฏก็มีน้อยกว่าคู่แข่ง เป็นต้น อีกทั้งหากคุณปิดโฆษณาหรืองบหมด โฆษณาของคุณก็จะหายไปจากหน้าผลการค้นหาทันที
เราแนะนำว่าให้ทำควบคู่กันไปได้เลย เพราะถึงแม้การปรับปรุงเว็บไซต์ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล แต่ในระหว่างนี้ก็สามารถทำ SEM ไปด้วยได้ แถมเป็นการส่งเสริมให้ SEO มีประสิทธิภาพดีขึ้นอีกด้วย แต่ทั้งนี้ควรมีการวางแผนการตลาด ระยะเวลา ค่าใช้จ่ายก่อน เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และทำให้ธุรกิจได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
ขึ้นอยู่กับทรัพยากรบุคคลและงบประมาณที่แต่ละธุรกิจมี เพราะหากคุณมีผู้เชี่ยวชาญที่สามารถทำ SEO ให้เป็นไปตามแผน มีความรู้ ความเข้าใจในการทำ และในงบที่กำหนดไว้ ก็สามารถทำเองได้เลย แต่หากธุรกิจยังไม่มีผู้มีประสบการณ์เพียงพอ ลองทำเองผิดๆ ถูกๆ อาจะทำให้เสียเวลา และเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ ในกรณีนี้ควรหาผู้เชี่ยวชาญมาทำให้คำปรึกษาเบื้องต้นเพื่อเป็นไกด์ไลน์ ไม่ต้องไปงมเองว่าจะต้องทำอะไรบ้าง หากคุณกำลังมองหาเอเจนซี่ที่เป็นมือโปรในด้านนี้ สามารถติดต่อ DTK AD ได้เสมอ เรามีประสบการณ์และผู้เชี่ยวชาญในการโปรโมตเว็บไซต์ให้แบรนด์ชื่อดังจากญี่ปุ่นมากมาย สามารถเห็นผลได้จริง ยอดขายเติบโตจริง ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างแท้จริง
การทำ SEO ให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับแรกๆ บนหน้าผลการค้นหาของ Google เป็นเหมือนการนำร้านค้าที่คุณตั้งใจสร้างขึ้นมา ไปโชว์ให้ผู้คนจำนวนมากเห็น ซึ่งคนเหล่านี้ก็มีความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณอยู่บ้าง ดูได้จากการที่เขามาค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับคุณนั่นเอง ดังนั้นยิ่งคุณปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีจนกูเกิ้ลจัดอันดับคุณให้อยู่ตำแหน่งแรกๆ จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้ Lead หรือคนที่มีแนวโน้มเป็นลูกค้าสูง มาเจอกับเว็บไซต์ของคุณได้จำนวนมาก เพิ่ม website traffic เพิ่มการถูกแชร์ จนถึงเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น โดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินสักบาท แค่ต้องใช้ความเข้าใจ การลงแรง และเวลาเท่านั้นเอง
Social Media Marketing (SMM) คืออะไร? ทำอย่างไรให้ยอดขายพุ่ง ธุรกิจโต
ติดตามข้อมูลข่าวสารที่นักการตลาดต้องรู้ อัปเดตใหม่เรื่อยๆ ที่ Facebook: DTK AD Co., Ltd.
Source
SHARE : Copied
บทความล่าสุด
CATEGORY
TAGS