UPDATE : 2024/06/17
SHARE : Copied
การทำการตลาดแบบ Remarketing คือการติดตามผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อสินค้า โดยใช้โฆษณาเพื่อดึงดูดพวกเขากลับมา ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ปรับปรุงประสิทธิภาพการโฆษณา และลดต้นทุนการโฆษณา บทความนี้จะอธิบายถึงความสำคัญตั้งแต่เริ่มต้นทำ ทำอย่างไรให้ได้ผล และเทคนิคการเพิ่มยอดขาย รูปแบบ และประโยชน์
คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือช่องทางอื่นๆ ของคุณมาก่อน แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อสินค้าหรือบริการใดๆ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและดึงดูดลูกค้าเหล่านี้กลับมาทำการซื้อได้
ทำงานโดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลผู้เข้าชมผ่านคุกกี้หรือพิกเซล (Facebook Pixel) เมื่อผู้เข้าชมเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ คุกกี้หรือพิกเซลจะเก็บข้อมูลการเยี่ยมชมและพฤติกรรมของพวกเขา จากนั้นเมื่อผู้เข้าชมเหล่านี้ไปเยี่ยมชมช่องทางอื่นๆ ที่เราทำโฆษณา (Paid Ads) เช่นบน Facebook, Instagram เป็นต้นโฆษณาของคุณจะถูกแสดงให้พวกเขาเห็นซ้ำๆ
การแสดงโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นซ้ำๆ ช่วยสร้างความจดจำและความคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณ ทำให้เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะทำการซื้อ พวกเขาจะนึกถึงคุณเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า และลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา เนื่องจากคุณสามารถเน้นโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสสูงในการทำการซื้อ
กลยุทธ์นี้ไม่ใช่กลยุทธ์ที่สามารถทำได้ในทุกโอกาส หากทำในขณะที่ไม่พร้อม อาจทำให้งบประมาณที่ทุ่มเทไปไม่คุ้มค่า ดังนั้นเราควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเริ่มใช้กลยุทธ์นี้
1. เมื่อมีปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์เพียงพอ
– กลยุทธ์นี้จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเว็บไซต์ของคุณมีปริมาณการเข้าชมที่เพียงพอ เนื่องจากการเก็บข้อมูลผู้ใช้และการสร้างกลุ่มเป้าหมายต้องอาศัยจำนวนผู้เข้าชมที่มากพอเพื่อให้สามารถแสดงโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อมีการติดตั้งเครื่องมือติดตามกลุ่มลูกค้าเรียบร้อยแล้ว
– ก่อนเริ่มทำกลยุทธ์นี้ควรติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์และติดตาม เช่น Google Analytics, Facebook Pixel หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์หรือช่องทาง Social ของคุณได้ เพื่อที่เราจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปทำต่อได้
3. เมื่อมีการกำหนดเป้าการตลาดที่ชัดเจนแล้ว
– เราควรกำหนดเป้าหมายทางการตลาดที่ชัดเจน เช่น เพื่อเพิ่มยอดขาย เพื่อเพิ่มการสมัครสมาชิก หรือการเพิ่มการดาวน์โหลดโปรแกรม โหลดแอปพลิเคชัน การที่เรามีเป้าหมายจะทำให้สามารถวัดผลและปรับปรุงแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. เมื่อเรามีเนื้อหาโฆษณาที่น่าสนใจไว้แล้ว
– การสร้างเนื้อหาโฆษณาที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ ควรเตรียมเนื้อหาโฆษณาที่หลากหลายและปรับแต่งให้ตรงกับพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้ เพื่อที่เมื่อนำไปใช้โฆษณาจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5. เมื่อมีการวางแผนงบประมาณแล้ว
– การวางแผนงบประมาณที่เหมาะสมจะทำให้เราไม่ขาดทุนจากการทำ Ads การทุ่มงบประมาณไปเยอะๆ โดยไม่สนใจความเหมาะสมอาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้กลับมาน้อย การทุ่มงบที่น้อยเกินไปก็อาจทำให้เราเสียโอกาสได้เช่นกัน
การใช้กลยุทธ์ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการวางแผนที่ดีและการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ ในหัวข้อนี้เราจะมาแนะนำขั้นตอนในการทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ก่อนที่จะเริ่มทำ ต้องเริ่มต้นจากการติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์และติดตามผลอย่างถูกต้อง เช่น การติดตั้ง Facebook Pixel หรือ Google Tag Manager เชื่อมกับ Google Ads บนเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นพื้นฐาน และช่วยให้เราสามารถแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
1. การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย (Audience Segmentation)
การแบ่งกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้เราสามารถสร้างเนื้อหาโฆษณาที่ตรงกับความต้องการและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น
– ผู้ที่เคยเพิ่มสินค้าลงตะกร้าแต่ยังไม่ซื้อ
– ผู้ที่เข้ามาอ่านบทความเกี่ยวกับเนื้อหาในหมวดหมู่เฉพาะ
– ผู้ที่เคยดูสินค้าหลายครั้ง
– ผู้ที่เคยทักแชทสอบถามข้อมูล
– ผู้ที่เคยทำการซื้อแล้ว
2. การสร้างเนื้อหาโฆษณาที่น่าสนใจ
ควรสร้างโฆษณาที่มีข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอที่น่าสนใจและดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ เราแนะนำให้ปรับแต่งเนื้อหาโฆษณาให้ตรงกับความสนใจและพฤติกรรมของผู้ใช้
3. การใช้ข้อเสนอพิเศษและโปรโมชั่น
การเสนอส่วนลดหรือโปรโมชั่นเป็นวิธีที่ดีในการกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายทำการซื้อ ควรใช้ข้อเสนอพิเศษ เช่น ส่วนลด โปรโมชั่น หรือการจัดส่งฟรี เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ นอกจากนี้ การใช้เทคนิคการสร้างความเร่งด่วน เช่น ข้อเสนอที่มีเวลาจำกัด หรือสินค้าที่มีจำนวนจำกัด จะช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น
4. การตั้งค่าแคมเปญโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ
เลือกแพลตฟอร์มโฆษณาที่เหมาะสม เช่น Google Ads, Facebook Ads, Instagram Ads หรือ TikTok Ads เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ตัวอย่างเช่น หากสินค้าและบริการของคุณมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้ Instagram เป็นส่วนใหญ่ การเน้นงบประมาณในช่องทางนี้จะทำให้คุณไม่เสียโอกาส
5. การติดตามและวัดผลแคมเปญ
การทำการตลาดโดยไม่วัดผลใดๆ ก็เหมือนกับการปิดตาเดินไปข้างหน้า เราไม่รู้ว่าอะไรทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นหรือไม่มีประสิทธิภาพ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics, Facebook Insights จะช่วยติดตามผลของแคมเปญโดยดูจากตัวชี้วัดต่างๆ เช่น อัตราการคลิก (CTR), อัตราการแปลง (Conversion Rate), และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
6. การปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
ในครั้งแรกที่เราทำ อาจจะได้ผลไม่เต็มที่ การปรับปรุงแคมเปญโฆษณาอย่างต่อเนื่องจะทำให้เราเพิ่มประสิทธิภาพจากเม็ดเงินที่จ่ายไปได้สูงสุดได้ เราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการติดตามวัดผลเพื่อหาจุดที่สามารถปรับปรุงได้
7. การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
ในบางครั้งแม้ลูกค้าเห็นโฆษณาของเรา แต่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่ลูกค้าจะจ่ายเงินซื้อ เราสามารถใช้กลยุทธ์นี้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้ โดยการแสดงโฆษณาที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ตรงกับความต้องการ ให้ลูกค้าจดจำเรา และเมื่อวันหนึ่งเมื่อลูกค้าต้องการจ่ายเงินแล้ว เราจะเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าได้
การเพิ่มยอดขายอีกเท่าตัว สามารถทำได้โดยการดึงประสิทธิภาพสูงที่ในการทำโฆษณาออกมา อย่าว่าแต่สองเท่า การเพิ่มยอดขายหลายๆเท่าตัว ก็สามารถทำได้ หากเราใช้ Paid Ads ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่จะที่จะทำให้เงินที่เราจ่ายไปกับโฆษณาได้ผลมากที่สุดเท่าที่จะมีได้ในปัจจุบัน การที่จะได้ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนั้น ต้องอาศัยเทคนิคในการเก็บกลุ่มเป้าหมายลูกค้าให้ได้เยอะๆ เมื่อได้กลุ่มเป้าหมายแล้ว ก็ต้องมีการลงงบโฆษณาขยายไปเรื่อยๆ ตามยอดขายที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำวนๆไปด้วยความสม่ำเสมอ
1. การเขียนบทความบนเว็บไซต์
ใช้ Organic Search ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเขียนบทความที่มีคุณภาพและตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมายจะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์แบบ Organic Search ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสนใจในสินค้าของคุณด้วยเช่นกัน การเขียนบทความก็เหมือนเราหยอดกระปุกเก็บข้อมูลลูกค้าเรื่อยๆ เพื่อเอาไปทำได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
2. การทำ Ads โฆษณาเน้นไปที่ Reach หรือเน้นจำนวนผู้เข้าชมเว็บ
Google Ads และ Facebook Ads แบบเน้นจำนวนผู้เข้าเว็บไซต์ เป็นวิธีที่ดีในการดึงดูดผู้เข้าชมใหม่ๆ แต่แน่นอนว่าลูกค้ากลุ่มนี้อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่เข้าชมจะตัดสินใจซื้อทันที แต่เป้าหมายคือ เราต้องการที่จะเก็บข้อมูลเป้าหมายเอาไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้น ก็เปลี่ยนกลุ่มลูกค้าโดยใช้การทำโฆษณาให้กลายเป็นลูกค้าที่ทำการซื้อ
3. ทำทุกอย่างเพื่อดึงดูดลูกค้าที่สนใจแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ
ลูกค้าหลายคนอาจเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ โดยเนื้อหาเราต้องมีเนื้อหาของสินค้า หรือบริการนั้นๆ อย่างครบถ้วนเพื่อดึงดูดคนที่กำลังหาข้อมูลสินค้าเข้ามาบทเว็บไซต์ของเรา หรือการทำ Viral Marketing ก็ช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมายได้เช่นกัน
4. การตลาดแบบแจกฟรี
หลายๆครั้ง เราจะเห็นเว็บไซต์ แจกฟรี E-Book แจกฟรีนั้นนี้ ความจริงแล้ว สิ่งที่แจกฟรีนั้นแลกมาด้วยกับอะไรหลายๆอย่าง เช่นการเข้ามาเยี่ยมชม ข้อมูล E-mail เป็นต้น แต่ในเนื้อหานี้ เราจะพูดถึงการแจกฟรี เพื่อวัตถุประสงค์ ให้คนที่สนใจในสินค้าของเรา เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ เพื่อที่จะทำให้เราเก็บสะสมกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเอาไปทำ Re-marketing ได้ต่อๆไปได้
การเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการตลาดและพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของคุณ การใช้หลายรูปแบบร่วมกันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีวิธีการและเป้าหมายที่แตกต่างกันไป จะยกรูปแบบที่นิยมมา 5 ข้อ
1. Site Re-marketing
– วิธีการ : แสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณแต่ยังไม่ได้ทำการซื้อหรือดำเนินการตามที่ต้องการ
– เป้าหมาย : ดึงดูดผู้เข้าชมกลับมาที่เว็บไซต์เพื่อทำการซื้อหรือดำเนินการอื่นๆ
2. Search Re-marketing
– วิธีการ : แสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยค้นหาคำสำคัญ (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณในเครื่องมือค้นหา เช่น Google
– เป้าหมาย : ดึงดูดผู้ที่มีความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณจากการค้นหาคำสำคัญ
3. Email Re-marketing
– วิธีการ : แสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเปิดหรือคลิกลิงก์ในอีเมลที่คุณส่งไป
– เป้าหมาย : ดึงดูดผู้ที่มีความสนใจในเนื้อหาอีเมลของคุณให้กลับมาที่เว็บไซต์หรือทำการซื้อ
4. Social Media Re-marketing
– วิธีการ : แสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพจของคุณบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Twitter
– เป้าหมาย : ดึงดูดผู้ใช้โซเชียลมีเดียที่มีความสนใจในแบรนด์ของคุณให้กลับมาที่เว็บไซต์หรือทำการซื้อ
5. Dynamic Re-marketing
– วิธีการ : แสดงโฆษณาที่ปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับสินค้าหรือบริการที่ผู้ใช้เคยดูหรือเพิ่มลงในตะกร้า
– เป้าหมาย : ดึงดูดผู้ใช้ให้กลับมาซื้อสินค้าที่พวกเขาเคยแสดงความสนใจ
หวังว่าข้อมูลทุกอย่างที่เราตั้งใจมากๆ ในการเขียน หาข้อมูลทุกอย่าง เขียนข้อมูลแบบเชิงลึก จะมีโยชน์กับทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ก่อนจะจบกันไปสำหรับเนื้อหาทั้งหมดของบทความนี้ เราจะขอสรุปสั้นๆ ว่า กลยุทธ์นี้มีประโยชน์อย่างไร 5 ข้อ
1. เพิ่มโอกาสในการขาย (Increased Conversion Rates)
การแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณมาก่อน ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้า เนื่องจากผู้ใช้เหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทำการซื้อสูงกว่าผู้ใช้ใหม่
2. เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
การแสดงโฆษณาซ้ำๆ ช่วยให้ผู้ใช้จดจำแบรนด์ของคุณได้ดีขึ้น การที่ผู้ใช้เห็นโฆษณาของคุณบ่อยๆ จะทำให้แบรนด์ของคุณติดอยู่ในใจของพวกเขา เมื่อพวกเขาต้องการสินค้าหรือบริการที่คุณมี
3. ปรับปรุงประสิทธิภาพการตลาด (Improved Marketing Efficiency)
ช่วยให้คุณสามารถใช้งบประมาณในการทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสสูงในการทำการซื้อ แทนที่จะใช้ทรัพยากรในการดึงดูดผู้ใช้ใหม่ทั้งหมด
4. ลดต้นทุนการโฆษณา (Cost-Effective Advertising)
กลยุทธ์นี้มักมีต้นทุนต่อการคลิก (CPC) หรือต้นทุนต่อการแสดงผล (CPM) ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบทั่วไป เนื่องจากคุณกำลังโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจอยู่แล้ว
5. การปรับแต่งโฆษณา (Ad Personalization)
คุณสามารถปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความสนใจและพฤติกรรมของผู้ใช้ได้มากขึ้น เช่น การแสดงโฆษณาสินค้าที่ผู้ใช้เคยดูหรือเพิ่มลงในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ
8 วิธีเพิ่ม Website Traffic ให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งแบบฟรีและไม่ฟรี
ติดตามข้อมูลข่าวสารที่นักการตลาดต้องรู้ อัปเดตใหม่เรื่อยๆ ที่ Facebook: DTK AD Co., Ltd.
SHARE : Copied
บทความล่าสุด
CATEGORY
TAGS