สำหรับคนที่ทำ Digital Marketing สิ่งที่ทุกคนอยากรู้คือ การตลาดช่องทางไหนที่ทำกำไรให้กับเรา ซึ่งเครื่องมือนั้นมีชื่อว่า UTM Tracking โดยจะเป็นการใช้พารามิเตอร์ใน URL เพื่อวัดผลและติดตามที่มาของการเข้าชม เครื่องมือนี้จึงมีประโยชน์ในการวัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คิดว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบแล้ว ทุกคนจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างแน่นอน!

UTM Tracking คืออะไร ? 

UTM (Urchin Tracking Module) คือ ชุดของพารามิเตอร์ (ตัวหนังสือ Link หลัง URL ยาวๆ เดี๋ยวเราจะมีตัวอย่างให้ดู) ที่ถูกเพิ่มเข้าไปใน URL เพื่อช่วยในการติดตามและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องมือวิเคราะห์เว็บ เช่น Google Analytics การใช้ UTM Tracking ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ว่าแหล่งที่มาของการเข้าชมเว็บไซต์มาจากไหน และแคมเปญใดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

 

ตัวอย่างการใช้ UTM ลองนึกภาพ URL ที่ยาวๆ เช่น 

 

ซึ่งจาก URL ตัวอย่างนี้มีการใช้ UTM เพื่อระบุแหล่งที่มาของ

• การเข้าชม (UTM_Source) : Google
• ช่องทางการตลาด (UTM_Medium) : CPC
• ชื่อแคมเปญ (UTM_Campaign) : Summer_Sale
• คำค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย (UTM_Term)  : Running_Shoes
• เนื้อหาหรือโฆษณาที่แตกต่างกันในแคมเปญเดียวกัน (UTM_Content) : ad1

 

มาสรุปกันว่าส่วนประกอบของ UTM  มีอะไรบ้าง

1. UTM_Source : ระบุแหล่งที่มาของการเข้าชม เช่น Google, Facebook, Newsletter
2. UTM_Medium : ระบุช่องทางการตลาด เช่น CPC (cost per click), Ad, Email, Social
3. UTM_Campaign : ระบุชื่อแคมเปญ เช่น Summer_sale, Product_launch
4. UTM_Term : ใช้สำหรับติดตามคำค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย จาก Google Ads
5. UTM_Content : ใช้สำหรับแยกแยะเนื้อหาหรือโฆษณาที่แตกต่างกันในแคมเปญเดียวกัน เช่น Banner_ad, Text_link

 

การทำ UTM Tracking มีประโยชน์ยังไง?

1. การวัดผลแคมเปญ

UTM ช่วยให้เราสามารถวัดผลและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่าน Google, Facebook หรือช่องทางอื่นๆ ข้อมูลที่ได้จาก UTM จะบอกเราได้ว่าแคมเปญไหนที่ทำงานได้ดี และแคมเปญไหนที่ต้องปรับปรุง

2. การวิเคราะห์ผู้ชม

UTM ช่วยให้เราเข้าใจแหล่งที่มาของผู้เข้าชมและพฤติกรรมของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น เราสามารถรู้ได้ว่าผู้เข้าชมมาจากแหล่งไหน เช่น จากการค้นหาผ่าน Google, คลิกจากอีเมล หรือจากโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราสามารถวางแผนและปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การปรับปรุงกลยุทธ์

ข้อมูลที่ได้จาก UTM สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดในอนาคตได้ เราสามารถรู้ได้ว่าเนื้อหาแบบไหนที่ผู้ชมชื่นชอบ หรือช่องทางไหนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ทำให้เราสามารถเน้นทรัพยากรไปยังส่วนที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และลดการใช้ทรัพยากรในส่วนที่ไม่เกิดประโยชน์

 

วิธีการทำโดยใช้ Google Campaign URL Builder 

การสร้าง UTM พารามิเตอร์ด้วย Google Campaign URL Builder เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ง่าย และนิยมมากที่สุด หากคุณไม่ต้องการสร้าง UTM พารามิเตอร์ด้วยตัวเอง มาดูกันว่าจะสามารถทำได้อย่างไร

 

ขั้นตอนการสร้าง UTM Tracking ด้วย Google Campaign URL Builder

ก่อนทำ : ตรวจสอบการเชื่อมต่อกับ Google Analytics

   ก่อนที่จะเริ่มทำ UTM Tracking ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้เชื่อมต่อกับ Google Analytics เรียบร้อยแล้ว เพราะเราจะสามารถดูผลและตัวเลขต่างๆ โดยใช้ Google Analytics

ขั้นตอนที่ 1 : เข้าไปที่ Google Campaign URL Builder

   คุณสามารถค้นหา “Google Campaign URL Builder” ใน Google เพื่อเข้าลิ้งเครื่องมือนี้ หรือเข้าไปที่ Google Ads ไปที่ชุดเครื่องมือ และไปที่ Google Campaign URL Builder

ขั้นตอนที่ 2 : กรอกข้อมูลในช่องตามที่ระบบให้กรอก

– Website URL : ใส่ URL ของหน้าเว็บที่คุณต้องการติดตาม

– Source : ระบุแหล่งที่มาของการเข้าชม (เช่น google, facebook)

– Medium : ระบุช่องทางการตลาด (เช่น cpc, email, social)

– Campaign : ระบุชื่อแคมเปญ (เช่น spring_sale)

– Term : (ไม่บังคับ) ระบุคำค้นหาที่ใช้ (เช่น running_shoes)

– Content : (ไม่บังคับ) ระบุเนื้อหาหรือโฆษณา (เช่น ad1)

ขั้นตอนที่ 3 : สร้าง URL ที่มี UTM พารามิเตอร์

เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วน เครื่องมือจะสร้าง URL ที่มี UTM พารามิเตอร์ให้คุณโดยอัตโนมัติ

ขั้นตอนที่ 4 : คัดลอก URL ที่สร้างขึ้น

คัดลอก URL ที่สร้างขึ้นมาจาก Google Campaign URL Builder และนำไปใช้ในแคมเปญการตลาดใน Ads ที่เราต้องการใช้ โดยให้เปลี่ยน URL ในแคมเปญให้เป็น URL ที่เราสร้างมา

 

วิธีการดูผลลัพธ์จาก Google Analytics 

หลังจากที่เราแปะ URL ที่ผ่านการทำ UTM Tracking ใน Google Ads แล้ว และปล่อยให้ Ads ของเราเก็บข้อมูลไปในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และปรับปรุงแคมเปญการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจะต้องดูตัวเลขสถิติต่างๆ เพื่อเอามาวัดผล มาดูกันว่ามีขั้นตอนการดูข้อมูลสถิตินี้สามารถดูได้อย่างไร:

1. เข้าไปที่ Google Analytics

เริ่มต้นโดยการเข้าสู่ระบบ Google Analytics จากนั้นไปที่เมนู Acquisition ซึ่งเป็นเมนูหลักสำหรับการดูข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์

2. ดูข้อมูลภาพรวมที่ Acquisition Overview

ในเมนู Acquisition Overview คุณจะเห็นข้อมูลภาพรวมจาก Session Medium และ Campaign ที่แสดงให้เห็นว่าแหล่งที่มาของการเข้าชมมาจากไหนบ้าง และแคมเปญใดที่มีประสิทธิภาพ

3. ดูข้อมูลแยกตามแหล่งที่มา (Source) และประเภทสื่อ (Medium)

ไปที่รายงาน Source/Medium ภายใต้เมนู All Traffic รายงานนี้จะแสดงข้อมูลว่า:

   – ผู้ใช้มาจากแหล่งใดบ้าง เช่น Facebook, Google เป็นต้น

   – มาจากสื่อประเภทใด เช่น Organic, CPC, Email เป็นต้น

4. ดูข้อมูลแยกตามแคมเปญ

ไปที่รายงาน Campaigns ภายใต้เมนู Campaigns > All Campaigns รายงานนี้จะแสดงข้อมูลว่าแต่ละแคมเปญมีผลลัพธ์อย่างไร เช่น จำนวนผู้เข้าชม, อัตราการแปลง (Conversion Rate) และอื่นๆ

5. ดูข้อมูลเพิ่มเติม

คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น:

– UTM_Content : ดูข้อมูลแยกตามเนื้อหา (Content) เพื่อวิเคราะห์ว่าเนื้อหาใดที่ได้รับความนิยม

– UTM_Term : ดูข้อมูลแยกตามคีย์เวิร์ด (Keyword) เพื่อวิเคราะห์ว่าคำค้นหาใดที่มีประสิทธิภาพ

 

บทสรุป 

นอกจากที่เราจะใช้ UTM Tracking ใน Google Ads ซึ่งเป็นวิธีที่ทำง่าย วัดผลได้ดี เรายังสามารถใช้ UTM ประยุกต์ใช้กับการทำการตลาดอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น หากเราจ้าง Influencer ให้โปรโมทลิ้งค์เว็บไซต์ของเรา เราก็สามารถสร้างลิ้งค์ที่เป็น UTM เพื่อ Track ว่า Influencer คนนั้นว่าให้ผลลัพท์อะไรบ้างในการจ้างครั้งนั้นๆ  เอาไว้ในบทความหน้า เราจะมาพูดกันว่า จะเอา UMT ไปประยุกต์ใช้กับอะไรได้บ้าง อย่าลืมติดตามบทความที่เราเขียนมาเรื่อยๆ แล้วเจอกัน!

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่

• เว็บไซต์ สำคัญไหม? มาดู 8 ข้อดีหากธุรกิจคุณมีเว็บเป็นของตัวเอง

• Remarketing คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับการตลาดดิจิทัลในปี 2024

• Paid Media Owned Media Earned Media คืออะไร? นักการตลาดต้องรู้ มีความสำคัญอย่างไร?
  

ติดตามข้อมูลข่าวสารที่นักการตลาดต้องรู้ อัปเดตใหม่เรื่อยๆ ที่ Facebook: DTK AD Co., Ltd.