รวม 6 เครื่องมือหา Keyword ทำ SEO และ SEM ให้แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง คำไหนที่ควรใช้?

UPDATE : 2023/03/30

Keyword Research SEM SEO

SHARE : Facebook share Line share Twitter share Link shareCopied

Keyword สำคัญอย่างมากในการทำ SEO และ SEM ให้ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อคุณรู้ว่าลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายจะใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการค้นหาแล้วมาเจอกับเว็บไซต์ของคุณ ยิ่งคุณทำให้ลูกค้าเห็นคุณได้มากเท่าไร เท่ากับว่าคุณมีโอกาสเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ก่อนจะเริ่มทำ SEO หรือ SEM ได้นั้น คุณจำเป็นจะต้องทำ Keyword Research ก่อน เพื่อหาแนวโน้มของคีย์เวิร์ดที่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายจะใช้ค้นหา ไม่งั้นอาจจะเสียเวลาทำไปโดยเปล่าประโยชน์ 

DTK AD จึงได้รวบรวมตัวช่วยสำคัญที่นักการตลาดส่วนใหญ่ใช้ในการหาคีย์เวิร์ด และใช้เพื่อดูแนวโน้ม หรือวิเคราะห์ปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้น ซึ่งมีทั้งเครื่องมือที่เสียเงินและไม่เสียเงิน แต่คัดมาให้แบบเน้นๆ ไว้ในบทความนี้แล้ว

 

6 เครื่องมือหา Keyword พัฒนา SEO และ SEM ให้แข็งแกร่งเหนือคู่แข่ง

1. Google Keyword Planner

เป็นเครื่องมือใน Google Ads ที่เอาไว้ทำโฆษณาบน Google  เป็นฟังก์ชั่นที่สามารถเอาไว้ดูจำนวน Volume ของการค้นหาคีย์เวิร์ดที่เราต้องการว่าเฉลี่ยต่อเดือนมีจำนวนเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้ดูแนวโน้ม หรือตัดสินใจนำคีย์เวิร์ดนั้นมาใช้ ข้อมูลที่ได้จาก Google Keyword Planner มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะเป็นข้อมูลที่ Google รวบรวมมาให้โดยตรง นักการตลาดจึงใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักๆ เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดที่จะนำไปทำ SEO หรือ SEM

หา Keyword เพื่อทำ SEO

Google Keyword Planner  เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นักการตลาดจะต้องรู้ ใช้งานง่ายมากและที่สำคัญคือเป็นเครื่องมือฟรี! บอกข้อมูลอย่างครบครันและมีความแม่นยำสูง แสดงผลตั้งแต่ Search Volume ของคีย์เวิร์ดที่จะใช้ และยังให้ไอเดียคีย์เวิร์ดใหม่ๆ รวมทั้ง Long Tail Keyword 

สำหรับผู้ที่จะทำ SEM เครื่องมือนี้ก็บอกการแข่งขันในการซื้อพื้นที่โฆษณาของคีย์เวิร์ดนั้นๆ พร้อมบอกอัตราค่าคลิกเบื้องต้น CPC (Cost per click) แสดงพื้นที่ของผู้คนที่มาค้นหาและอุปกรณ์ที่ใช้งาน สามารถคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ในการทำโฆษณาได้ โดยหากคุณเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่มีคนค้นหา หรือค้นหาน้อยก็อาจจะไม่คุ้มค่ากับการทำ

2. Search Terms

เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่อยู่ใน Google Ads ที่ใช้งานได้ฟรีเหมือนกัน มีประโยชน์อย่างมากต่อการทำโฆษณาบน Google ในรูปแบบการทำ SEM ฟังก์ชั่นนี้จะช่วยให้คุณจัดการกับคีย์เวิร์ดได้ดียิ่งขึ้นเพื่อลดต้นทุนค่าคลิก CPC ที่ไม่เกี่ยวข้อง และเพิ่ม Keyword ที่มีการค้นหาเข้ามาจริงๆ และเป็นคีย์เวิร์ดที่อาจจะไม่ได้หยิบมาใช้ ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถค้นหาเจอคุณได้ง่ายขึ้น

Search Terms จะแสดงคีย์เวิร์ดที่ผู้คนใช้ค้นหาบน Google จนมาเจอกับโฆษณาของคุณ ทำให้คุณได้ไอเดียใหม่ๆ นำไปปรับใช้กับแคมเปญได้ ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญเดิม สร้างแคมเปญใหม่ หรือจะนำไปทำ Negative Keyword เพื่อไม่ให้คนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายมาเจอโฆษณาของคุณและคลิกให้คุณเสียค่าโฆษณาโดยที่ไม่ได้เกิดเป็น Conversion หรือลูกค้าของคุณ เช่น “ฟรี” “มือสอง” เพื่อสโคปกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายลง

หา Keyword เพื่อทำ SEM

 

3. Google Trends

อันนี้ก็เป็นเครื่องมือของ Google อีกหนึ่งตัวที่ใช้งานได้ฟรี สามารถใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดได้อย่างดี โดยคุณสามารถดูคีย์เวิร์ดที่กำลังเป็นเทรนด์ในช่วงเวลานั้นๆ ดูอัตราการค้นหาของคีย์เวิร์ดในแต่ละพื้นที่ และยังสามารถใช้หาคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อนำไปเขียนในบทความ โดยคุณอาจคิดไว้หลายคีย์เวิร์ดแล้วนำไปเปรียบเทียบใน Google Trends ซึ่งจะทำให้คุณเห็นประสิทธิภาพของแต่ละคีย์เวิร์ดในรูปแบบแผนภูมิแท่งและกราฟ ช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นก่อนนำไปทำ SEO หรือ SEM ว่าในช่วงไหนคนเสิร์ชคำนี้เยอะ ช่วงไหนคนเสิร์ชน้อย เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการทำคอนเทนต์หรือเลือกใช้คีย์เวิร์ดได้ถูกช่วงเวลา

ตัวอย่างเช่น คุณจะเขียนบทความหัวข้อเกี่ยวกับกาแฟ โดยเลือกคีย์เวิร์ดไว้ 3 อย่างคือ “กาแฟราคาถูก” “กาแฟชง” “กาแฟสด” จากภาพผลการเปรียบเทียบจะเห็นได้ว่าควรเลือกใช้ “กาแฟชง” เป็นคีย์เวิร์ดทำ SEO มากที่สุด

Google Trends

หรือ คุณต้องการทำ SEO ที่เป็นคำว่า รูฟท็อป ให้ติดทันในช่วงเดือน พฤศจิกายน ธันวาคม เพราะคุณเห็นว่าเทรนด์มีการค้นหาคีย์เวิร์ดนี้ในช่วงเดือน 11 กับ 12 เพราะฉะนั้นคุณก็จะต้องเตรียมทำคอนเทนต์ที่มีคีย์เวิร์ดนี้ล่วงหน้า 2-3 เดือน เพราะการทำ SEO จะต้องใช้เวลาในการทำให้เนื้อหาติดอันดับใน Google

ส่วน SEM คุณก็จะได้รู้เทรนด์ที่ควรใช้หรือทำคีย์เวิร์ดไหนขึ้นมาแทน ตัวอย่าง คุณทำโฆษณาใช้คีย์เวิร์ด “รูฟท็อป” ในช่วงเดือนที่มีการค้นหาคำนี้น้อย เช่นในเดือนเมษา พฤษภาคม ทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี คุณอาจจะตัดสินใจไม่ทำโฆษณา SEM อีกเลย คุณก็อาจจะพลาดโอกาสในเดือนอื่นๆ เช่น พฤศจิกายน ธันวาคม ที่มีคนค้นหาคำนี้เยอะๆ นั่นเอง

4. Ubersuggest

หน้าตาของเครื่องมือใช้งานง่ายไม่ซับซ้อนมือใหม่ก็ใช้ได้ ในการหาประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ด จะแสดงข้อมูลพื้นฐานทั่วๆ ไป เช่น Search Volum ความยากในการทำให้ติด SEO/SEM ค่าคลิก ความพิเศษคือจะมีคีย์เวิร์ดไอเดียแนะนำ และคอนเทนต์ไอเดียที่มียอดการเข้าชมสูงๆ ให้คุณนำไปปรับใช้กับการทำ SEO  

Ubersuggest

Ubersuggest Keyword Research

Ubersuggest ยังให้คุณสามารถเข้าไปสืบคู่แข่งเพื่อให้คุณพัฒนาเว็บไซต์ให้ทันหรือนำหน้าคู่แข่งได้ ทั้งดูคุณภาพของเว็บไซต์ ดูบทความที่ traffic สูงๆ หรือคีย์เวิร์ดที่ทำแล้วติด SEO เพื่อให้คุณนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของตัวเอง แต่ในการใช้งาน ถ้าคุณเลือกใช้แบบฟรี จะมีการติดลิมิตจำนวนครั้งในการขอดูข้อมูล และข้อมูลที่ปรากฏจะไม่ครบถ้วน ดังนั้นเครื่องมือนี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ หรือผู้ที่อยากทำ SEO/SEM อย่างจริงจังและใช้งานแบบเสียเงินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน

5. Semrush

เมื่อเปิดหน้าเครื่องมือจะเห็นเครื่องมือเยอะแยะมากมายให้คุณได้ใช้งาน อีกทั้งบอกข้อมูลได้ละเอียดครบถ้วน ดังนั้นหน้าตาเครื่องมืออาจจะดูยุบยับ มือใหม่ต้องใช้เวลาในการทำความรู้จักเครื่องมือ สามารถดูประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการ ดูภาพรวมเว็บไซต์ของเราและคู่แข่งได้ จึงเป็นอีกเครื่องมือที่นักการตลาดส่วนใหญ่เลือกใช้

Semrush 

มีฟีเจอร์ Site Audit ให้คุณประเมิณความแข็งแกร่งของโดเมนของตัวเอง ดูภาพรวมของผู้เข้าชมเว็บไซต์และคีย์เวิร์ดที่ติดแบบ Organic Search อีกทั้งช่วยประเมิณคุณภาพแต่ละหน้าเว็บเพจว่าหน้าไหนต้องปรับปรุงโครงสร้าง SEO หน้าไหน error 

ส่วนฟีเจอร์ที่ให้คุณดูคู่แข่งแบบเจาะลึก จะแสดงผลยอดผู้เข้าชมเว็บโดยรวม คีย์เวิร์ดไหนติดบ้าง เพจไหนคนเข้าเยอะสุด แนะนำการเขียน catch copy ของคู่แข่ง อีกทั้งคุณยังสามารถศึกษาการซื้อโฆษณาของพวกเขาเพื่อนำมาปรับใช้ และอีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือ Keyword Gap ที่จะช่วยหาคีย์เวิร์ดจากคู่แข่งมาแนะนำ โดยเป็นคีย์เวิร์ดที่เรายังไม่ทำและมีโอกาสติด SEO 

สิทธิ์ในการเข้าใช้งานคล้ายๆ กับ Ubersuggest ที่การใช้งานแบบฟรีจะมีการติดลิมิตจำนวนครั้งในการขอดูข้อมูล ดังนั้นใช้แบบเสียเงินจะดีกว่าค่ะ

6. Ahrefs

เป็นอีกเครื่องมือที่นักการตลาดเลือกใช้เพราะมีประสิทธิภาพสูง ให้รายละเอียดเยอะและลงลึก เหมาะกับผู้ที่ต้องการทำ SEO จริงจัง ช่วยแนะนำคีย์เวิร์ดไอเดียและ Long Tail Keyword ได้จำนวนมาก และที่สำคัญช่วยบอกจำนวนคลิกของแต่ละคีย์เวิร์ด ให้คุณตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพได้แม่นยำมากขึ้น เพราะบางคีย์เวิร์ดถึงแม้จะมี Search Volum เยอะ แต่มีจำนวนคลิกน้อย ก็อาจทำให้ SEO หรือ SEM แคมเปญนั้นได้ผลตอบรับที่ไม่ดี นอกจากนี้ Ahrefs ยังสามารถทำ Site Audit และดูคู่แข่งได้แบบลงลึกได้เช่นกัน 

Ahrefs

เพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์อีกขั้นด้วย Google Search Console

Google Search Console เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ Google รู้จักเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น และบอกผลลัพธ์การทำ SEO ที่ผ่านมา พร้อมแจ้งเตือนในส่วนที่ต้องปรับปรุง จึงเป็นตัวช่วยอย่างดีที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพมากขึ้น ไต่อันดับได้สูงขึ้นบน Google และที่สำคัญ คุณสามารถใช้งานได้ฟรี 

Google Search Console

ฟีเจอร์สำคัญที่คนทำ SEO ต้องรู้!

1. Performance

แสดงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และการทำ SEO ที่ผ่านมา ช่วยให้คุณรู้ผลลัพธ์การเข้าชมเว็บไซต์แบบ Organic Search ย้อนหลัง ตั้งแต่จำนวนคนคลิกเข้าเว็บไซต์ จำนวนครั้งที่คนเห็นเว็บไซต์ของเราบนหน้า Google คีย์เวิร์ดที่คนค้นหาแล้วเจอเว็บไซต์ของเรา อุปกรณ์ที่ใช้ค้นหา ฯลฯ

2. URL Inspection

ช่วยให้รู้ว่า Google เข้ามาเก็บข้อมูลบนเว็บเพจไปจัดอันดับแล้วหรือยัง เช่น เมื่อเรามีการอัปเดตคอนเทนต์ใหม่ๆ Google จะบอกสถานะว่าหน้าเว็บเพจนั้นถูกเก็บข้อมูล (Crawling) ไปแล้วหรือยัง เก็บล่าสุดวันไหน ถ้ายังคุณสามารถกดปุ่มเพื่อร้องขอให้ Google เข้ามาเก็บข้อมูลได้แบบเฉพาะเจาะจงหน้าเว็บเพจ นอกจากนี้ยังช่วยประเมิณว่าสามารถแสดงผลบนมือถือได้ดีหรือไม่

3. Coverage

แสดง error ที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ เมื่อคุณแก้ไขหรือปรับปรุงตามแจ้งเตือนแล้ว จะช่วยให้การไต่อันดับดีขึ้น นอกจากนี้ยังบอกจำนวน URL ที่ไปปรากฏบน Google ให้คุณเช็กได้ว่าจำนวน URL ที่คุณต้องการให้แสดงผลบน Google ตรงกับที่คุณต้องการหรือไม่ 

4. Sitemap

หากคุณเข้ามาอัปเดต Sitemap อย่างสม่ำเสมอให้ Google รู้ว่าเว็บไซต์มีกี่หน้า หน้าอะไรบ้าง แต่ละหน้าเชื่อมโยงกันอย่างไร Google จะเข้ามาเก็บข้อมูลและนำไปจัดอันดับได้ง่ายยิ่งขึ้น

5. Experience

เป็นตัววัดผลการเข้าใช้งานเว็บไซต์ทั้งบนอุปกรณ์ Desktop และ Mobile ว่ามีคุณภาพหรือไม่ พร้อมบอกจุดที่ต้องแก้ไขเพื่อให้คนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น

ซึ่งทุกอันที่กล่าวมาล้วนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปรับหรือแก้ไขให้เว็บไซต์เหมาะกับการทำ SEO friendly ส่งผลทำให้เวลาที่คุณทำคีย์เวิร์ดใหม่ๆ เพิ่มเข้ามามีโอกาสที่จะติดอันดับในหน้าผลการค้นหาได้เร็วและง่ายยิ่งขึ้น

มี Keyword ที่ดีแล้ว ต้องมีทีมงานที่ดีด้วย

หากคุณกำลังมองหาผู้ช่วยหรือเอเจนซี่มือโปรด้าน SEO และ SEM สามารถติดต่อขอคำปรึกษาจาก DTK AD ได้ก่อนแบบฟรี เรามีประสบการณ์และผู้เชี่ยวชาญในการโปรโมตเว็บไซต์ให้แบรนด์ชื่อดังจากญี่ปุ่นมากมาย สามารถสร้างยอดขายที่เห็นผลได้จริง ช่วยเลือกใช้คีย์เวิร์ดให้เกิดประโยชน์ที่สุด และวางแผนการตลาดให้แบบระยะยาว ให้คุณสามารถเริ่มต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ต้องเสียเวลาไปลองเอง เพราะเราลองมาให้หมดแล้วจากประสบการณ์ที่สั่งสมในแวดวงการตลาดทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และลาว

 

สรุป

ถ้าคุณอยากทำ SEO และ SEM ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่มโอกาสให้บทความหรือเว็บไซต์ของเราถูกมองเห็นและถูกคลิก คุณจำเป็นต้องทำ Keyword Research เพื่อตรวจสอบดูว่าผู้บริโภคมักใช้คำแบบไหนในการค้นหาในกูเกิ้ล และคำหรือวลีเหล่านั้นต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา ซึ่งในปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยให้คุณเช็กประสิทธิภาพของคีย์เวิร์ดได้แบบ real time และยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ ให้คุณเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของธุรกิจคุณ

 

อ่านบทความด้านการตลาดเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารที่นักการตลาดต้องรู้ อัปเดตใหม่เรื่อยๆ ที่ Facebook: DTK AD Co., Ltd.

DTK AD

 

Source: [1], [2]

 

Author: Wanna Julanon

SHARE : Facebook share Line share Twitter share Link shareCopied

บทความแนะนำ

เร็วๆ นี้

    ติดต่อสอบถามได้ที่นี่
    โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเรา